“กระซิบรักบันลือโลก” หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนไทยรู้จักดีในชื่อ “ปู่ม่านย่าม่าน” เป็นภาพวาดจิตรกรรมฝาหนังของวัดภูมินทร์หรือชื่อเดิมคือวัดพรหมมินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ที่วาดขึ้นโดยศิลปินที่ชื่อว่า หนานบัวผัน ผู้เป็นศิลปินชาวไทลื้อซึ่งเคยวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีลักษณะคล้ายกันนี้ที่วัดหนองบัว อำเภอวังท่าผา จังหวัดน่าน ทั้งฉาก ลายเส้น สี ถูกสร้างสรรค์ขั้นราวปี พ.ศ.2410 ถึง พ.ศ.2417 สมัยเจ้าอนันตฤทธิวรเดช ผู้เป็นเจ้าครองเมืองน่านในสมัยนั้น จิตรกรรมบนฝาผนังนั้นจะแสดงถึงเรื่องราววิถีชีวิตของผู้คนเมืองน่านและนิทานชาดก
ส่วนภาพวาด “ปู่ม่านย่าม่าน” อันมีชื่อเสียง แสดงถึงชายหญิงคู่หนึ่งนั่งคู่กัน โดยที่ชายผู้นั้นใช้มือข้างหนึ่งจับไหล่หญิงนั้นไว้ ส่วนมืออีกข้างคล้ายว่าทำท่าป้องปากกระซิบอะไรบางอย่างกับหญิงผู้ โดยมีแววตาหวานแสดงถึงความรักไคร่อย่างชัดเจน ฝ่ายหญิง นั่งอมยิ้มอยู่ข้างกันแล้วสบตากับฝ่ายชายด้วยความรักใคร่ ฝ่ายชายมีการเกล้าผมไว้กลางศีรษะแล้วใช้ผ้าพันไว้ ท่อนบนเปลือยเปล่าอวดให้เห็นรอยสักทั่วร่างกาย ท่อนล่างนุ่งผ้าลุนตะยาแบบพม่า ฝ่ายหญิงเกล้าผมไว้ แต่งกายแบบไทลื้อ มีผู้สันนิษฐานว่าชายในภาพ คือตัวหนานบัวผันเอง แต่ต่อมาก็มีผู้ออกมาแสดงความขัดแย้งเพราะหนานบัวผันเป็นชาวไทลื้อ หาใช่ชาวพม่าเช่นในภาพไม่
ส่วนคำว่าปู่ม่านย่าม่าน มาจากภาษาพม่า ปู่ หมายถึงผู้ชายที่พ้นวัยเด็กที่เข้าสู่วัยหนุ่ม ส่วนย่า แท้จริงออกเสียงว่า ง่า หมายถึง ผู้หญิงที่พ้นวัยเด็กที่เข้าสู่วัยสาว ตามประเพณีแล้วหากผู้ที่ยังไม่ได้ตกแต่งกันตามประเพณีจะถูกเนื้อต้องตัวกันเช่นนี้ไม่ได้ นั่นหมายความว่าภาพนี้มาจากคู่หนุ่มสาวที่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว
ลายเส้นอันงดงาม การลงสีที่ลงตัว ที่หนานบัวผันได้ถ่ายทอดภาพ “ปู่ม่านย่าม่าน” ออกมาให้ผู้ที่ได้ชมต่างประทับใจคล้อยตามไปกับภาพแห่งความรักอันดื่มด่ำภาพนี้ ทำให้มีการตั้งชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “กระซิบรักบันลือโลก” จนทำให้ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองน่านไปแล้ว จึงได้ปรากฏอยู่บนของที่ระลึกต่าง ๆ จากเมืองน่าน เช่น เสื้อยืด ภาพโปสการ์ด เป็นต้น ผู้ใดที่มีโอกาสได้มาเยือนเมืองน่านก็จะต้องมาชมภาพ “กระซิบรักบันลือโลก” นี้ให้ได้เพราะไม่อย่างนั้นถือว่ามาไม่ถึงเมืองน่าน เพื่อเก็บความประทับใจของเส้นสายลายวาดที่แสดงถึงความรักอันดื่มด่ำของหนุ่มสาวที่อยู่คู่เมืองน่านมาเนิ่นนานนั่นเอง